พระอธิการ สิริลักษณ์ ธีรวังโส

พระอาจารย์ พระอธิการ สิริลักษณ์ ธีรวังโสเป็นลูกชาวนาแท้ ๆ ที่เกิดใน อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ว่าที่ตัวท่านและวัดจะมีชื่อเสียงโด่งดัง ณ ปัจจุบัน ต้องฝ่าฟันอุปสรรคแสนสาหัสขนาดไหน ย้อนไปเมื่อ 2552 ปีแรกที่พระอาจารย์ ย้ายกลับมาจำวัดบ้านเกิด เลือกจำวัดที่วัดรัตนเนตตาราม เพราะศรัทธาต่อ “หลวงพ่อสุน” อดีตเจ้าอาวาส พระอาจารย์ผู้เกร่งกล้าวิชาอาคมและแพทย์แผนโบราณรักษาชีวิตคนในหมู่บ้านมานับครั้งไม่ถ้วน จนชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก ซึ่ง “หลวงพ่อสุน”เป็นพระอุปัชฌาย์ ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ พระอธิการ สิริลักษณ์ ธีรวังโส สร้าง “เมรุเปลือกหอย”

เมรุเปลือกหอย

เพื่อทำพิธีถวายเพลิงพระสรีรางคารพระอาจารย์ของท่านแต่ก่อนจะกลับถิ่นเกิด พระอธิการ สิริลักษณ์ ธีรวังโส ได้ไปร่ำเรียนวิชาประติมากรรมจาก สำนักปฏิบัติธรรมสันกู่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

สำนักปฏิบัติธรรมสันกู่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

เริ่มจากหัดเรียนปั้นหัวพญานาคก่อน สะสมความรู้ราว 6 ปี จนวิทยายุทธ์แก่กล้า พร้อมกับได้วิชาและความเชื่อศรัทธาในวิถี “เซน” หนึ่งในวิถีพุทธที่สอนให้รู้จักกล้าลงมือ “ทำ” มากกว่า พูด หรือ คิด ติดตัวกลับมาด้วย จึงกลายเป็นพลังและแรงบันดาลใจมาพัฒนา วัดรัตนเนตตาราม จากวัดหัวไร่ปลายนา ที่ไม่มีใครรู้จักให้กลายเป็น “วิมานพุทธศิลป์” สวยงามชื่อดังระดับประเทศแต่ความเหนื่อยทางใจ หนักหนาสาหัส เพราะต้องทนกับเสียงคำวิพากษ์วิจารณ์ดูถูกทับถมว่า เป็นพระเพี้ยน จากคนในชุมชน แต่ไม่เคยย่อท้อ ทุ่มกายทุ่มใจทำงานศิลป์ต่อไปจนสำเร็จเป็นชิ้นงานนับได้ร้อยชิ้น โดยใช้เวลากว่า 6 – 7 ปี ในที่สุด ชุมชนโดยรอบเริ่มยอมรับ ใน ปี  2558 เศรษฐกิจในชุมชนคึกคัก เพราะนักท่องเที่ยวแห่กันมาเที่ยววัดล้านหอย ชาวบ้านในท้องถิ่นเริ่มตาสว่าง จากเคยปรามาส พระเพี้ยน  มาวันนี้กลับกลายเป็น “พระนักพัฒนาชุมชน” สร้างธุรกิจและการท่องเที่ยวชุมชนบ้านนอกที่อยู่ไกลปืนเที่ยงให้เป็นที่รู้จักอีกความตั้งใจที่พระอาจารย์วาดฝัน คือ อยากสร้าง “โรงเรียนสอนปั้นประติมากรรมพุทธศิลป์” ไม่ใช่ให้มาบวชเรียนเป็นพระหรือสามเณร แต่ต้องการให้เด็กหรือเยาวชนคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ ได้มีทักษะฝีมืองานศิลปะการปั้น ไปประกอบอาชีพได้ เช่น อาจมารับจ้างเป็นลูกมือทำงานในวัด รับจ้างปั้นตุ๊กตา กระถาง เป็นต้น จำหน่ายเป็นของที่ระลึกประจำท้องถิ่น 

พระอธิการ สิริลักษณ์ ธีรวังโส  เจ้าอาวาสวัดรัตนเนตตาราม เป็นพระนักการศึกษาและพระนักพัฒนาชุมชนตัวจริงโดยแท้ ด้วยการใช้วิชาความรู้ที่มีอยู่ แม้ไม่เคยร่ำเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นเพียงลูกชาวนาคนหนึ่งที่ขยันหมั่นเพียรหาความรู้ แต่เป็นทักษะวิชาชีวิตที่ฝึกฝนด้วยตัวเองผ่านประสบการณ์จริงที่บากบั่นเรียนรู้ไปตลอดชีวิต และยังต้องออกเดินทางไปวัดต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้งานพุทธศิลป์ไปทั่วประเทศ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาพัฒนาวัดตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่ง