ที่มา https://thaihealthlife.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%B0/

(1) อายตนะ 6 คืออายตนะภายในหรือรูปภายในของสฬายตนะ อันได้แก่ 1. จักษุ (ตา) 2. โสต (หู)  3. ฆานะ (จมูก) 4. ชิวหา (ลิ้น) 5. กาย 6. มนะ (ใจ)

เมื่อใดบุคคลรู้ชัดซึ่งอายตนะ 6 เหตุเกิดแห่งอายตนะ 6 ความดับ แห่งอายตนะ 6 และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอายตนะ 6 แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ บุคคลชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ

ก็อายตนะ 6 เหตุเกิดแห่งอายตนะ 6 ความดับอายตนะ 6 และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอายตนะ 6 เป็นไฉน

อายตนะ 6 ได้แก่ อายตนะ 6 เหล่านี้ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เหตุเกิดแห่งอายตนะ 6 ย่อมมี เพราะนามรูปเป็นเหตุให้เกิด ความดับอายตนะ 6 ย่อมมี เพราะนามรูปดับ

อริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 นี้แหละ คือ ความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ ชื่อว่าปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอายตนะ 6

เมื่อใดบุคคลรู้ชัดซึ่งอายตนะ 6 เหตุเกิดอายตนะ 6 ความดับอายตนะ 6 และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอายตนะ 6 อย่างนี้ เมื่อนั้นท่านละราคานุสัย บรรเทาปฏิฆานุสัย ถอนทิฏฐานุสัย และมานานุสัย โดยประการทั้งปวง ละอวิชชา ยังวิชชาให้เกิด ย่อมกระทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันเทียว

แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

(2)​ อินทรีย์ 5 ประการนี้ คือ จักขุนทรีย์ 1 โสตินทรีย์ 1 ฆานินทรีย์ 1 ชิวหินทรีย์ 1 กายินทรีย์ 1 มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่รับรู้วิสัยอันเป็นโคจรของกันและกัน

เมื่ออินทรีย์ 5 เหล่านี้ มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่รับรู้วิสัยอันเป็นโคจรของกันและกัน มีใจเป็นที่อาศัย ใจย่อมรับรู้วิสัยอันเป็นโคจรแห่งอินทรีย์เหล่านั้น

อินทรีย์ 5 นี้ อาศัยอายุ (ชีวิตินทรีย์) ตั้งอยู่

(3) ความดับแห่งอายตนะ ๖

–  จักษุดับ ณ ที่ใด รูปสัญญาก็สิ้นไป ณ ที่นั้น
–  หูดับ ณ ที่ใด สัททสัญญาก็สิ้นไป ณ ที่นั้น
–  จมูกดับ ณ ที่ใด คันธสัญญาก็สิ้นไป ณ ที่นั้น
–  ลิ้นดับไป ณ ที่ใด รสสัญญาก็สิ้นไป ณ ที่นั้น
–  กายดับ ณ ที่ใด โผฏฐัพพสัญญาก็สิ้นไป ณ ที่นั้น
–  ใจดับ ณ ที่ใด ธรรมสัญญาก็สิ้นไป ณ ที่นั้น

อายตนะภายนอกและอายตนะภายใน

(4) ส่วนประกอบแห่งวิญญาณเมื่ออายตนะภายในและอายตนะภายนอกมากระทบกัน

หากจักษุ โสต ฆานะ ชิวหา กาย มนะ (อายตนะภายใน) ซึ่งเป็นรูปภายในมีอยู่ และรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ (อายตนะภายนอก) ทั้งหลายที่อยู่ภายนอกไม่มาสู่อายตนะภายในนั้น การกำหนดรู้ที่เกิดจากอายตนะภายในและภายนอกเมื่อมาเจอกัน นั้นก็ไม่มี ส่วนประกอบแห่งวิญญาณที่เกิดจากอายตนะภายในและภายนอกกระทบกันก็ยังมีไม่ได้

หากมีอายตนะภายในและมีอายตนะภายนอกเข้ามาสู่อายตนะภายใน แต่ไม่มีการกำหนดรู้เมื่ออายตนะภายในและอายตนะภายนอกมาเจอกัน  ส่วนประกอบแห่งวิญญาณที่เกิดจากอายตนะภายในและภายนอกกระทบกันก็ยังมีไม่ได้

เมื่อมีอายตนะภายใน และมีอายตนะภายนอกเข้ามาสู่อายตนะภายใน และมีการกำหนดรู้เมื่ออายตนะภายในและอายตนะภายนอกมาเจอกัน  ส่วนประกอบแห่งวิญญาณที่เกิดจากการกระทบกันนั้นจึงมีได้

(5) ภิกษุย่อมเป็นผู้มีใจชุ่มด้วยกาม เมื่อภิกษุ

– เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว น้อมใจไปในรูปอันน่ารัก ย่อมขัดเคืองในรูปอันไม่น่ารัก
–  ฟังเสียงด้วยหูแล้ว น้อมใจไปในเสียงอันน่ารัก ย่อมขัดเคืองในเสียงอันไม่น่ารัก
–  ดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว น้อมใจไปในกลิ่นอันน่ารัก ย่อมขัดเคืองในกลิ่นอันไม่น่ารัก
–  ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว น้อมใจไปในรสอันน่ารัก ย่อมขัดเคืองในรสอันไม่น่ารัก
–  ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว น้อมใจไปในโผฏฐัพพะอันน่ารัก ย่อมขัดเคืองในโผฏฐัพพะอันไม่น่ารัก
–  รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว น้อมใจไปในธรรมารมณ์อันน่ารัก ย่อมขัดเคืองในธรรมารมณ์อันไม่น่ารัก

เป็นผู้ไม่ตั้งกายคตาสติไว้ มีใจมีประมาณน้อยอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับไปไม่เหลือแห่งอกุศลธรรม

ภิกษุนี้เรียกว่า เป็นผู้มีใจชุ่มแล้วในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์  อันจะพึงรู้แจ้งด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ       

ถ้าแม้ว่ามารเข้าไปหาภิกษุนั้นผู้มีปรกติ อยู่อย่างนั้นทางจักษุ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มารย่อมได้ช่องได้เหตุ

–  ก็รูปครอบงำภิกษุผู้มีปรกติอยู่อย่างนั้น ภิกษุไม่ครอบงำรูป
–  เสียงครอบงำภิกษุ ภิกษุไม่ครอบงำเสียง
–  กลิ่นครอบงำภิกษุ ภิกษุไม่ครอบงำกลิ่น
–  รสครอบงำภิกษุ ภิกษุไม่ครอบงำรส
–  โผฏฐัพพะครอบงำภิกษุ ภิกษุไม่ครอบงำโผฏฐัพพะ
–  ธรรมารมณ์ครอบงำภิกษุ ภิกษุไม่ครอบงำธรรมารมณ์

ภิกษุนี้เรียกว่า เป็นผู้ถูกรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ครอบงำ ไม่ครอบงำรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ธรรมทั้งหลายที่เป็นบาป  เป็นอกุศล มีความเศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นวิบาก เป็นที่ตั้งแห่งชาติ ชราและมรณะ ครอบงำแล้ว 

ก็ภิกษุเป็นผู้มีใจไม่ชุ่มด้วยกาม เมื่อภิกษุ

– เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่น้อมใจไปในรูปอันน่ารัก ไม่ขัดเคืองในรูปอันไม่น่ารัก
– ฟังเสียงด้วยหูแล้ว ไม่น้อมใจไปในเสียงอันน่ารัก ไม่ขัดเคืองในเสียงอันไม่น่ารัก
– ดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว ไม่น้อมใจไปในกลิ่นอันน่ารัก ไม่ขัดเคืองในกลิ่นอันไม่น่ารัก
– ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว ไม่น้อมใจไปในรสอันน่ารัก ไม่ขัดเคืองในรสอันไม่น่ารัก
– ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ไม่น้อมใจไปในโผฏฐัพพะอันน่ารัก ไม่ขัดเคืองในโผฏฐัพพะอันไม่น่ารัก
– รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่น้อมใจไปในธรรมารมณ์อันน่ารัก ไม่ขัดเคืองในธรรมารมณ์อันไม่น่ารัก

เป็นผู้เข้าไปตั้งกายคตาสติไว้ มีใจหาประมาณมิได้อยู่ และย่อมรู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับไปไม่เหลือแห่งอกุศลธรรม

ภิกษุนี้เรียกว่าเป็นผู้มีใจไม่ชุ่มแล้วในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อันจะพึงรู้แจ้งด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ถ้าแม้มารเข้าไปหาภิกษุนั้นผู้มีปรกติอยู่อย่างนั้นทางจักษุ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ  มารย่อมไม่ได้ช่องไม่ได้เหตุ 

ก็ภิกษุผู้มีปรกติอยู่อย่างนั้น

–  ครอบงำรูป รูปไม่ครอบงำภิกษุ
–  ภิกษุครอบงำเสียง เสียงไม่ครอบงำภิกษุ
–  ภิกษุครอบงำกลิ่น กลิ่นไม่ครอบงำภิกษุ
–  ภิกษุครอบงำรส รสไม่ครอบงำภิกษุ
–  ภิกษุครอบงำโผฏฐัพพะ โผฏฐัพพะไม่ครอบงำภิกษุ
–  ภิกษุครอบงำธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์ไม่ครอบงำภิกษุ

ภิกษุนี้เรียกว่า ผู้ครอบงำรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อันเป็นบาปเป็นอกุศลเหล่านั้น อันมีความเศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นวิบาก เป็นที่ตั้งแห่งชาติ ชราและมรณะต่อไป 

(6) จักษุไม่ได้เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของรูป รูปก็ไม่ได้เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของจักษุ แต่ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักษุและรูปทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในจักษุและรูปนั้น

หูไม่ได้เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของเสียง เสียงก็ไม่ได้เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของหู แต่ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยหูและเสียงทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในหูและเสียงนั้น  

จมูกไม่ได้เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของกลิ่น กลิ่นก็ไม่ได้เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของจมูก แต่ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจมูกและกลิ่นทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในจมูกและกลิ่นนั้น

ลิ้นไม่ได้เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของรส รสก็ไม่ได้เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของลิ้น แต่ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยลิ้นกับรสทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในลิ้นและรสนั้น 

กายไม่ได้เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของโผฏฐัพพะ โผฏฐัพพะก็ไม่ได้เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของกาย แต่ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในกายและโผฏฐัพพะนั้น         

ใจไม่ได้เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์ก็ไม่ได้เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของใจ แต่ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในใจและธรรมารมณ์นั้น

พระเนตร พระโสต พระนาสิก พระชิวหา พระกาย และพระมนัสของพระผู้มีพระภาคมีอยู่ พระองค์ก็ทรงเห็นรูปด้วยพระเนตร ทรงฟังเสียงด้วยพระโสต ทรงสูดกลิ่นด้วยพระนาสิก ทรงลิ้มรสด้วยพระชิวหา ทรงถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยพระกาย และทรงรู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยพระมนัส แต่พระองค์ไม่มีความพอใจรักใคร่เลย พระองค์ทรงมีจิตหลุดพ้นดีแล้ว

ที่มา https://uttayarndham.org/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1/1102/%E0%B8%AD-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%B0-%E0%B9%96-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99